ชีพจรลง South @พังงา

มหัศจรรย์ ดินแดนแร่หมื่นล้าน ตอนที่ 1

หลาย ๆ คน คงจะคุ้นหูกับคำว่า “ขึ้นเหนือ ล่องใต้” ในวันนี้เราได้รับคำเชิญจาก “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคใต้” เพื่อที่จะ “ชีพจรลง South” มุ่งหน้าสู่ดินแดนแร่หมื่นล้าน ซึ่งเคยเป็นแหล่งทำเหมืองดีบุกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงเป็นสถานที่จริงในภาพยนตร์เรื่อง “มหา’ลัยเหมืองแร่” รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสุวรรณหงส์ปี 2548 เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความประทับใจให้ใครหลาย ๆ คน ในโอกาสนี้เราจะพาทุกคนไปร่วมกับเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยว “ดินแดนแร่หมื่นล้าน” ในอีกมุมมองหนึ่งกัน ออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ

วันเดินทาง เรานัดกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง อาคาร 2 (Domestic Terminal) กันตั้งแต่ 06.30 น. เพื่อบินลัดฟ้าสู่ท่าอากาศยานภูเก็ตโดยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3037 ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ด้วยความที่เดินทางตั้งแต่เช้าอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทางแอร์เอเชียมีบริการอาหารเซ็ท Santan Combo Meal ไว้ให้บริการ สามารถสั่งไว้ล่วงหน้าพร้อมกับการจองตั๋วเครื่องบินได้สะดวกมาก ๆ  เลยครับ

เมื่อถึงภูเก็ต เราต้องนั่งรถขึ้นไปทางทิศเหนือมุ่งหน้าไปยังจังหวัดพังงา ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 402 ผ่านสะพานสารสิน จากนั้นเลี้ยวขวามุ่งสู่อำเภอตะกั่วทุ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อมาถึงจุดมุ่งหมายแรก “เสม็ดนางชี” เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดในจังหวัดพังงา

เนื่องด้วยทางขึ้นจุดชมวิวมีลักษณะเป็นทางดิน ความชันสูงสุดประมาณ 30 % บวกกับทางที่ค่อนข้างลำบาก รถทั่วไปไม่สามารถขับขึ้นไปได้ แต่การที่เราจะขึ้นไปยังจุดชมวิวเสม็ดนางชีได้นั้นมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน วิธีแรก “เดิน” วิธีนี้ฝรั่งชอบกันมากใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ระยะทาง 800 เมตร ส่วนวิธีที่สอง ใช้บริการ “รถโฟร์วีล” ของชุมชนค่าบริการ 90 บาทต่อคน วิธีนี้คุณจะได้สัมผัสความตื่นเต้นของเส้นทาง และความชันทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะที่อยู่บนพื้นดิน

พร้อมลุยแล้วครับ

ทางค่อยข้างลำบาก บางจุดชันถึง 30 %

การเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว ซึ่งชาวต่างชาติชอบมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือน เสม็ดนางชี ความรู้สึกนั้นประทับใจมากมองเห็น เกาะแก่ง ภูเขาหินปูนตั้งตระหง่านสลับกับวิว “อ่าวพังงา” และป่าชายเลน ทำให้อยากนั่งอยู่ตรงนี้นาน ๆ ก็คิดอยู่ในใจว่าหากได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่คงโรแมนติกมาก ๆ ไว้ครั้งหน้าต้องมานอนกางเต็นท์ที่นี่แน่นอน นอกจากนี้บนจุดชมวิวยังห้องพักราคาหลักร้อย ทั้งหมด 9 ห้อง พร้อมจุดกางเต็นท์สำหรับคนที่ต้องการจะค้างคืนเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า

มองเห็นวิว “อ่าวพังงา” แบบพาโนรามา

เก็บภาพความสวยงามของ “เสม็ดนางชี”

พักที่นี่ ตื่นมาตอนเช้าดูแสงอาทิตย์ขึ้น ฟินแน่นอน

หลังจากนั้นเราเดินทางกลับไปที่รถ มุ่งหน้าไปยัง “ท่าเรือบ้านหินร่ม” ห่างจาก “เสม็ดนางชี” 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที เพื่อไปรับประทานอาหารเที่ยง หลังจากลงรถ ท่าเรือบ้านหินร่ม จะอยู่ในหุบของป่าชายเลนที่เต็มไปด้วยต้นโกงกางใจกลางอ่าวพังงา วิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ใช้ชีวิตตามแบบชาวประมงพื้นบ้าน

นอกจากนั้นชาวบ้านยังสามารถพานำเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ภายในอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาได้อีกด้วย แต่ไฮไลท์สำหรับวันนี้ทำเอาตื่นเต้นเลย เพราะว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้ล่องเรือพายพร้อมกับรับประทานอาหาร ชมทัศนียภาพของอ่าวพังงา อยากจะบอกว่าหากใครพาคู่รักมา พอกลับบ้านไปจะต้องรักกันมากขึ้นแน่นอน เพราะบรรยากาศโรแมนติกมาก ซึ่งตรงนี้จะใช้เวลาอยู่บนเรือประมาณ 1 ชั่วโมง ที่สำคัญลุง ๆ ป้า ๆ บ้านหินร่ม น่ารักทุกคน หรอยจริง ๆ ครับที่นี่

วิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน

กองเรือแห่งความโรแมนติกออกเดินทาง

รับประทานอาหารท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ

เป้าหมายต่อไป เรามุ่งหน้า อ.ท้ายเหมือง ไปยัง “บ้านท่าดินแดง” อยู่ห่างจาก ท่าเรือบ้านหินร่ม มาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ซึ่งที่นี่ยังมีร่องรอยของการทำเหมืองดีบุกให้เห็น

รางแร่โบราณ

สาธิตการร่อนแร่ดีบุก

โดยมี “บังดีน” ประธานกลุ่มชุมชนบ้านท่าดินแดง เป็นตัวแทนต้อนรับและนำชมวิถีชีวิตของชาวบ้านท่าดินแดง สิ่งแรกที่เราได้ชมคือการสาธิตการร่อนแร่ ซึ่งมี “โต๊ะ” ซึ่งหมายถึง ย่า หรือ ยาย ในภาษาอิสลาม เป็นคนสาธิตให้พวกเราดู หลังจากนั้น “บังดีน” พาพวกเราแปลงร่างใส่เสื้อชูชีพ เหมือนกำลังบอกเป็นนัยว่า “การเดินทางของพวกเธอกำลังจะเริ่มต้นขึ้น” เราทะยอยลงเรือคายัคไปตามแม่น้ำ ชมความอุดมสมบูรณ์ของป่าโกงกาง ในพังงาถือว่ามีพื้นที่ป่าโกงกางเยอะที่สุดในประเทศไทยกว่า 900,000 ไร่ ล่องเรือมาสักพักพอมาถึงจุดตัดของคลองหินลาด เราต้องย้ายจากเรือคายัคมาขึ้นเรือหัวโทงเพื่อที่จะขึ้นฝั่งมุ่งหน้าไปยัง “เขาหน้ายักษ์”

ตั้งแถวพายคายัคออกไปอย่างเป็นระเบียบ

แต่ระหว่างทางไปนั้นสิ่งที่พบเจอทำให้ละสายตาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว  ไม่ว่าจะเป็น “ทุ่งต้นเสม็ดขาว” ครั้งแรกที่เห็นความรู้สึกเหมือนภาพวาดสีน้ำมันของจิตรกรดูแล้วเพลินตา เดินมาอีกนิดพบกับ “ทุ่งสะวันนา” มีหญ้าขึ้นอย่างมีระเบียบเหมือนมีคนมาตัดตกแต่งไว้ หากมาในช่วงมีนาคม – เมษายน จากหญ้าสีเขียว ๆ จะกลายเป็นสีส้มทองทั้งทุ่ง อยากจะกลับมาเก็บภาพความประทับใจกันเลยครับ

ขึ้นฝั่งแล้วต่อด้วยเดินเท้าไปยัง “เขาหน้ายักษ์”

ทุ่ง “ต้นเสม็ดขาว”

 

ด้านหน้า “ทุ่งสะวันนา” ด้านหลัง “ทุ่งต้นเสม็ดขาว”

พอเดินเท้ามาอีกสักนิดเราก็จะพบกับ “เขาหน้ายักษ์” ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ประวัติได้กล่าวไว้ว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเรือรบของญี่ปุ่นได้ล่องผ่านมาแถวนี้ ได้พบกับเขาลูกหนึ่งมีลักษณะเหมือนกับหน้าของยักษ์ แล้วตกใจรีบล่องเรือออกไปจนติดหินแต่ก็ยังออกไปได้ จึงได้เรียกกันว่า “เขาหน้ายักษ์” หลังจากละสายตามาจากเขาหน้ายักษ์แล้ว สิ่งที่ทำให้ตะลึงก็คือความสวยงามของ “หาดหน้ายักษ์” หาดทรายยาวกว่า 15 กิโลเมตร เม็ดทรายที่ต้องแสงขับสีขาวนวลสลับกับน้ำทะเลสีเขียวใสมรกต ทำให้ยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเพราะว่ามาพังงาก็หลายครั้ง ทำไมไม่เคยเจอหาดทรายที่สวยแบบนี้มาก่อน ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืม นอกจากหาดทรายแล้วความสวยงามของชั้นหินก็สวยงามไม่แพ้กันทำให้เราถ่ายรูปกันสนุกมือจนลืมเวลาเลยทีเดียว

การเดินทางของพวกเราในจังหวัดพังงายังไม่จบเพียงแค่นี้นะครับ อย่าลืมติดตามอ่านต่อตอนต่อไป ได้ใน www.ride-explorer.com หากใครสนใจที่อยากมาเปิดประสบการณ์แบบนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพังงาได้ที่ 076 481 900–2 ได้เลยครับ

#RideExplorer #ชีพจรลงSouth#amazingไทยเท่ #GoLocal #Phangnga

Loading Facebook Comments ...

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here