BALA TRAIL เสน่ห์ปลายด้ามขวาน

ต้อนรับมิตรภาพผู้มาเยือน

เรื่อง : -เดอะกุ่ย-

ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่ากระแสการวิ่งนั้น แรงจนฉุดไม่อยู่ ผู้คนรักสุขภาพรวมตัวกันออกกำลังกายตามรูปแบบที่ชอบและถนัด วิ่งหลักๆ ก็จะมีสายถนนและสายป่า ส่วนตัวผมไม่ใช่สายวิ่งแต่เป็นสายปั่นจักรยาน ซึ่งธรรมชาติของกีฬาจะมีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยหลักๆ จักรยานก็จะมีทั้งเสือหมอบและเสือภูเขาซึ่งปั่นในป่า แม้แต่ชนิดรถยนต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ยังแบ่งเป็นรถสปอร์ตและรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อเพื่อวัตถุประสงค์ในสัญจรบนเส้นทางวิบากเช่นกัน

ต้องเรียกว่าเป็น Talk of the Town เลยก็ว่าได้ สำหรับการวิ่งบนเส้นทางธรรมชาติ หรือ วิ่งเทรล ซึ่งในแต่ละภาคของประเทศไทยต่างก็มีสเน่ห์ในแบบของตน ลักษณะของป่าและพื้นที่ต่างมีเอกลักษณ์ที่ชวนหลงไหลสำหรับกลุ่มนักเดินป่าและนักวิ่งที่ชอบชื่นชมธรรมชาติ จึงการจัดแข่งกันอยู่บ่อยๆ ในโซนภาคเหนือ สำหรับผมจึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่การจัดงานวิ่งเทรลแต่ละครั้ง มีผู้สมัครเป็นหลักร้อยถึงหลักพัน แถมวิ่งกันข้ามคืนในระยะกว่าร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว

ผมเกิดที่สุไหงโก-ลก ธุรกิจครอบครัวขายจักรยานเสือภูเขามา 25 ปี ถูกปลูกฝังด้วยการปั่นจักรยานในป่าตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ได้คลุกคลีกับป่าไม้ชายแดนใต้ แต่ทว่า สำหรับคนต่างพื้นที่ ผู้ซึ่งไม่ได้มีวิถีชีวิตบ้านๆ แบบเรานั้น ยากนักที่เห็นธรรมชาติเช่นนี้ โดยเฉพาะคนเมืองกรุงที่โตมากับพร้อมกับคอนกรีตและสังคมที่เจริญแล้วทางด้านวัตถุ

ต่างฝ่ายก็ต่างโหยหาสิ่งที่ขาดหายไป อะไรใหม่ๆ และแปลกตาจึงเป็นที่ที่ต้องไขว่ขว้าและขวนขวายหามัน คนบ้านนอกอย่างเราที่ไม่เคยมีแม้แต่ 7-11 ได้กระเสือกกระสนเดินทางเข้าเมืองกรุงเพื่อดูแสงสี ในทางตรงกันข้าม คนเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยความเจริญรอบกาย ต่างดิ้นรนเพื่อเดินทางไปซึมซับไอดินกลิ่นน้ำทะเล ภูเขา ป่าไม้ เพื่อเติมพลังงานชีวิต และกลับไปดำเนินชีวิตด้วยกิจวัตรประจำวันตามภาระหน้าที่ของแต่ละคน

พื้นที่สีแดงปลายด้ามขวานของประเทศไทย สามจังหวัดชายแดนใต้เต็มไปด้วยสถานการณ์เลวร้ายและยืดเยื้อมานาน ไม่มีทีท่าจะคลี่คลาย พื้นที่ที่เต็มไปด้วยภาพลักษณ์แห่งความน่ากลัว อาจมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ก็เป็นได้

คนกลุ่มหนึ่ง ณ ชุมชนบ้านยาเด๊ะ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ผู้ซึ่งหลงไหลการเดินป่า และได้มีโอกาสไปวิ่งเทรลตามสถานที่ต่างๆ เมื่อกลับมาบ้านเกิดจึงได้ตกผลึกทางความคิดที่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีรอบตัวให้เกิดประโยชน์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนคือการเคารพป่าไม้ อนุรักษ์ธรรมชาติ และเชิญชวนผู้คนต่างถิ่นมาสัมผัสธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ด้วยการจัดกิจกรรมวิ่งเทรล ที่ชื่อว่า “Bala Trail”

เมื่อปลายปี พ.ศ.2561 ความฝันได้เริ่มต้นโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีกระแสตอบรับออกมาในแนวไหนในภายภาคหน้า ระยะทางวิ่งถูกแบ่งเป็นสองระยะคือ  Mini Trail 12 กิโลเมตร และ Hard Trail 25 กิโลเมตร บาลาเทรลเป็นกิจกรรมใหม่ในพื้นที่ โดยสถานที่จัดงานอยู่ไม่ไกลจาก อ.สุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ทางทีมปั่นจักรยานมีแสงไบค์จึงรวมตัวกันไปร่วมกิจกรรม เพื่อที่จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ นอกวงการจักรยาน การแข่งขันวิ่งเทรลครั้งนี้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจแก่คนต่างพื้นที่ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรม สมัครเต็มอย่างรวดเร็ว มีการจำกัดผู้สมัครเพียงหลักร้อยเพื่อการดูแลรักษาความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวโน้มออกมาดี หลังงานผ่านไป นักวิ่งพูดกันปากต่อปากในแง่ดี รูปภาพความสวยงามของธรรมชาติป่าบาลาถ่ายโดยอาสาสมัครจากทีมงาน Golok Freedom และ พี่ไปเพ ได้ถูกแชร์ในกระแสออนไลน์ซึ่งดึงดูดนักวิ่งเทรลทั่วทุกสารทิศให้มาลองสัมผัส

วันที่ 1 กันยายน 2562 บาลาเทรลปีที่สองได้กลับมาอีกครั้ง สมัครเต็มเร็วเช่นเคย ศิษย์เก่าได้สิทธิ์สมัครก่อนศิษย์ใหม่ จำนวนผู้สมัครถูกจำกัดไม่ให้มากจนเกินไปเพื่อการรักษาสมดุลย์ของธรรมชาติให้คงสภาพเดิมมากที่สุด ระยะทางวิ่งถูกแบ่งเป็นสองระยะเช่นเดิม คือ  Mini Trail 15 กิโลเมตรและ Hard Trail 30 กิโลเมตร นักวิ่งมากกว่าปีที่แล้วประมาณสองเท่า บรรยากาศเต็มไปด้วยความหลากหลาย มีซุ้มขายอุปกรณ์การวิ่ง ก่อนรับ bib ในระยะ 30 กิโลเมตร  จะมีการตรวจเช็คอุปกรณ์บังคับ คือเป้น้ำและนกหวีด

ผมลงระยะ Hard Trail 30 กิโลเมตร ออกสตาร์ท 6.00 น. ดูจากกราฟความชันที่ทางผู้จัดงานติดไว้ที่ป้ายวิ่งจะเห็นได้ว่า มีความชันรวมอยู่ที่ 1,250 เมตร โดยมีการปีนเขาชันอยู่ 2 ลูกใหญ่ จุดเช็คพอยท์ 3 จุด และจุดให้น้ำ 3 จุดเช่นเดียวกัน มีเจล แตงโม กล้วยหอม กล้วยตาก เครื่องดื่มเกลือแร่ ระหว่างทางวิ่งมีชาวบ้านและเด็กมายืนต้อนรับผู้มาเยือนต่างถิ่น ส่วนตัวผมสามารถวิ่งได้แค่ 4 กิโลเมตร ที่เหลืออีก 26 กิโลเมตรเดินล้วนๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิ่งและประสบการณ์น้อยมาก

ตั้งแต่เกิดมาเคยวิ่งเทรลสองครั้ง คือ Bala trail ครั้งที่ 1 และ Bala trail ครั้งที่ 2 จึงไม่ขอพูดถึงเรื่อง Technical ส่วนเวลา Cut-off อยู่ที่ 8 ชั่วโมง วิ่งตามความรู้สึกและเสียงของหัวใจ วิ่งไม่ไหวก็เดิน เดินไม่ไหวก็หยุด

ระหว่างทางวิ่งไปก็เจอสตาร์ฟกินลองกองที่จุดเช็คพอยจึงได้ขอกินบ้าง เดินไปเจอชาวบ้านกินอะไรอยู่ก็ขอเขากินด้วย ทุกคนใจดีไม่มีใครปฎิเสธแถมให้เพิ่มอีกต่างหาก มีเปลสนามก็ขอเขานอนพัก ทีมงานตากล้องก็ลุยเต็มที่ อยู่ตามจุดสำคัญที่วิวสวยๆ

แม้เราจะปีนเขาสูงแค่ไหน ตากล้องก็ปีนไปอยู่จุดนั้นเช่นกัน สนามโหดหรือไม่อยู่ที่การซ้อม ซ้อมมาก็วิ่งสนุก ไม่ซ้อมมาก็ทรมาณ แต่มันคุ้มค่าสำหรับทุกคนที่ได้มาทั้งในแง่ของการสัมผัสธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์และในแง่ของการศึกษาวิถีชีวิตกับวัฒนธรรมต่างถิ่นฐาน ผมเดินจบที่ 7 ชั่วโมง 22 นาที คาดว่าเป็นคนท้ายๆ แต่ระยะเวลากว่าครึ่งวันที่ผ่านไปไม่มีวินาทีใดที่สูญเปล่า เพราะได้เก็บเกี่ยวเรื่องราว มิตรภาพ ณ ปลายด้ามขวานที่บ้านเกิดเมืองนอนเพื่อนำมาเล่าต่อให้ทุกคนได้ฟัง

#RideExplorer
#Innaturewerun
#BalaTrailRunning 

Credit ภาพ : พี่ไปเพ, Kolok Freedom, นายยินยอม, Halal Trekking, Balatrail Team, Yang Yang, Abdulghani Ismail, อดุลย์ บุตรโกบ, Wan Fazri, Ratchata HJ mamood, D Photographer, Anan Suwanrueang และช่างภาพจิตอาสาทุกท่านครับ

 

 

Loading Facebook Comments ...

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here